LIfespan@2x-8

FAQ

คำถามที่พบบ่อย

All FAQ

A: filler โดยทั่วไปเป็น hyaluronic acid แบบมวลโมเลกุลสูงที่ crosslink แต่ biofiller ของ Lifespan clinic นั้นจะเป็นสารสกัดจากเซลล์ธรรมชาติ 2 ชนิดที่ห้อหุ้มด้วย hyaluronic acid แบบมวลโมเลกุลต่ำ และ non- crosslink ซึ่งมีข้อดีคือ สลายได้หมดเมื่อเวลาผ่านไป ไม่ตกค้าง ไม่มีอันตรายเมื่อหลุดเข้าไปสู่เส้นเลือด นอกจากนั้นฤทธิ์ของ growth factors และ growth hormone ที่ได้จากเซลล์ธรรมชาติจะช่วยกระตุ้นให้เซลล์มีการซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ให้อ่อนเยาว์และแข็งแรง มีการเพิ่มการแบ่งตัวเซลล์มากขึ้น  ทำให้เซลล์ผิวหนาแน่นตึงกระชับ และยังกระตุ้นการสร้าง collagen และ elastin ได้ดี ทำให้ลดริ้วรอยเหี่ยวย่น ใบหน้าตึงกระชับ รวมทั้งยังมี cytokines ที่เป็นสารช่วยลดการอักเสบ ทำให้ลดการอักเสบของผิว หรือสิวอักเสบได้ดี

A: ทั้งการใช้ cell-based therapy เพื่อการฟื้นฟูด้านความงามที่ฉีดเฉพาะจุด เช่น ใบหน้า คอ หน้าอก เพื่อการฟื้นฟูสุขภาพร่างกาย และเพื่อการฟื้นฟูโรคเฉพาะทาง เช่น ปัญหาข้อเข่า โรคมะเร็ง ก่อนเข้ารับการฟื้นฟูผู้เข้ารับการรักษาจะต้องเข้ารับการตรวจประเมินโดยแพทย์อย่างละเอียด โดยผู้เข้ารับการรักษาควรรู้

- ประวัติแพ้ยาเพนนิซิลิน

- ประวิติการป่วยด้วยมะเร็งของตนเองและคนในครอบครัว

- ประวัติการฉีดวัคซีน

- ประวัติการมีโรคประจำตัว หรือโรคอื่นๆ

- ประวัติการทานยา

เพื่อให้ข้อมูลแก่แพทย์ในการพิจารณาการฟื้นฟูด้วย stem cell

A: หลังจากเข้ารับการฟื้นฟูด้วย cell-based therapy แล้ว ควร

- งดการบริจาคเลือด

- งดเว้นสุราและบุหรี่ไม่น้อยกว่า 1 เดือน

- หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจจะได้รับการบาดเจ็บ

- หลีกเลี่ยงทรีตเมนต์ที่เป็นความร้อนทุกชนิด รวมถึง ซาวน่า สตีมไอน้ำ การนวดประคบร้อน และเลเซอร์ต่างๆ ไม่น้อยกว่า 1 เดือน

A: ออกฤทธิ์ยกกระชับได้เหมือนกัน แต่แตกต่างกันที่กลไกการทำงาน เนื่องจาก bio-lifting เป็นสารสกัดที่ได้ growth factors และ growth hormone ที่จะกระตุ้นเซลล์ให้มีการเพิ่มจำนวนหนาแน่นขึ้นทำให้หน้าตึงกระชับอย่างธรรมชาติ ส่วน botox เป็นสารพิษ (toxin) ที่สกัดจากแบคทีเรีย จะลดการหดเกร็งกล้ามเนื้อ หรือคือการทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต จึงส่งผลให้ริ้วรอยเหี่ยวย่นลดลง แต่ทำให้การแสดงสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติ

A: สามารถแต่งหน้าและทาครีมบำรุงตามปกติได้ทันที

A: ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้ตั้งแต่ 6 เดือน จนถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับสุขภาพและรูปแบบการใช้ชีวิต (lifestyle) แต่ละบุคคล

A: มีข้อห้ามสำหรับผู้ป่วยมะเร็งในระยะลุกลาม, คนไข้ที่มีการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ

A: มีข้อห้ามคนไข้ที่เป็นมะเร็งรังไข่/เนื้องอกที่รังไข่ เนื่องจาก placenta ส่งผลต่อการกระตุ้นรังไข่โดยตรง

A: ควรดื่มหลังฉีด 1 เดือนขึ้นไป

A: ประคบเย็นเท่านั้น เพราะความร้อนจะลดประสิทธิภาพของเซลล์บำบัด (cell-based therapy)

A: แก้ได้ ด้วยการใช้เทคนิคพิเศษในการฉีด เช่น derma pen

A: ใช้ bio lifting แทนการใช้ botox ได้ เนื่องจากออกฤทธิ์ยกกระชับได้เหมือนกัน แตกต่างที่กลไกการทำงาน เนื่องจาก bio lifting เป็นสารสกัดที่ได้ growth factors และ growth hormone ที่จะกระตุ้นเซลล์ให้มีการเพิ่มจำนวนหนาแน่นขึ้นทำให้หน้าตึงกระชับอย่างธรรมชาติ ส่วน botox เป็นสารพิษ (toxin) ที่สกัดจากแบคทีเรีย จะลดการหดเกร็งกล้ามเนื้อ หรือคือการทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต จึงส่งผลให้ริ้วรอยเหี่ยวย่นลดลง แต่ทำให้การแสดงสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติ

A: ใช้การยกกระชับด้วย bio lifting หรือการฉีดเฉพาะจุดด้วยเซลล์ของตนเอง เช่น PRP ทดแทนได้

A: แก้ไขโดยใช้ bio lifting หรือการใช้ PRP แทนการใช้ botox เนื่องจาก botox เป็นสารพิษที่ทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต ดังนั้นดึงอาจทำให้เกิดอันตรายได้หากยังมีการใช้ botox

A: จำเป็น เนื่องจากการตรวจวิเคราะห์ผลเลือดสามารถบอกสภาวะของร่างกายของผู้ป่วยได้ว่าเป็นอย่างไร เพราะในบางกรณี ผู้ป่วยไม่ทราบภาวะและข้อจำกัดทางสุขภาพของตนเอง ดังนั้นการตรวจเลือดก่อนอย่างละเอียดจึงสำคัญมาก

A: รูปแบบการใช้ชีวิตและมลภาวะในปัจจุบัน ทำให้เรามีโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคมากขึ้น ที่อาจทำให้แค่การรับประทานอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ

A: มีอยู่ได้เรื่อยๆ เพราะมีหลายปัจจัย นการใช้ชีวิตที่ควบคุม ควบคุมไม่ได้ และเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงโอกาสในการขาดวิตามิน ซึ่งการทานวิตามินเป็ฯประจำจะช่วยลดภาวะการขาดสิตามินกรือาจะไม่ขาดเลย แต่หากไม่แน่ใจสามารถปรึกษาแพทย์และตรวจวิเคราะห์การขาดวิตามินได้

A: การใช้วิตามินสำหรับรักษาโรค ขึนอยู่กับกรณีของโรค เช่น โรดหัวใจเต้นผิดจังหวะจากการขาดวิตามินบี 1 เรื้อรัง (beriberi) ใช้ในการบำบัดรักษาโรค 

ตัวอย่างเคสการใช้วิตามินกับโรคมะเร็ง โรคติดเชื้อรุนแรง โรค covid

A: การใช้ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์ เพราะในบางกรณีหากผู้ป่วยมีโรคประจำตัวที่ต้องระวังเป็นพิเศษ เช่น ภาวะ G6PD deficiency การใช้วิตามินซีความเข้มข้นสูงอาจทำให้เม็ดเลือดแดงแตกได้ หรือการได้รับวิตามินบี6มากเกินไปอาจทำให้ปลายประสาทอักเสบ

A: โดยทั่วไปมีความปลอดภัยสูงแม้จะใช้ในปริมาณมาก ซึ่งการจะเกิดอันตรายนั้นไม่ได้เกิดจากวิตามินโดยตรง แต่เกิดจากการที่ผู้ป่วยไม่ทราบภาวะและข้อจำกัดทางสุขภาพของตนเอง

A: วิตามินบีบางตัวทำให้รู้สึกคลื่นไส้ เกลือแร่อบางชนิดอาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะได้หากให้ในปริมาณมากเกินไปหรืออัตราการให้เร็วเกินไป และผลข้างเคียงอีกส่วนหนึ่งเกิดจาก technical error ของการเตรียมวิตามิน

A: ไม่มีผลข้างเคียงทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

A: น้ำหนักลดลงได้ 2-5 กิโลกรัม/เดือน ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้ชีวิตหลายๆปัจจัย เช่น การทาน การออกกำลังกาย การนอน เป็นต้น

A: สัปดาห์ที่ 2 เป็นต้นไป

A: การฉีด agonist จะช่วยลดความอยากอาหารลง โดยการสั่งการกับสมองที่ควบคุมความหิว

A: ควรทำควบคู่กับไปด้วย ควรเน้นไปที่รูปแบบการใช้ชีวิต (lifestyle) ดังนั้นจึงควรค่อยๆเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่จะเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรงในระยะยาวมากกว่าเพียงการลดน้ำหนักในช่วงหนึ่งๆ

Cell-based therapy

A: filler โดยทั่วไปเป็น hyaluronic acid แบบมวลโมเลกุลสูงที่ crosslink แต่ biofiller ของ Lifespan clinic นั้นจะเป็นสารสกัดจากเซลล์ธรรมชาติ 2 ชนิดที่ห้อหุ้มด้วย hyaluronic acid แบบมวลโมเลกุลต่ำ และ non- crosslink ซึ่งมีข้อดีคือ สลายได้หมดเมื่อเวลาผ่านไป ไม่ตกค้าง ไม่มีอันตรายเมื่อหลุดเข้าไปสู่เส้นเลือด นอกจากนั้นฤทธิ์ของ growth factors และ growth hormone ที่ได้จากเซลล์ธรรมชาติจะช่วยกระตุ้นให้เซลล์มีการซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ให้อ่อนเยาว์และแข็งแรง มีการเพิ่มการแบ่งตัวเซลล์มากขึ้น  ทำให้เซลล์ผิวหนาแน่นตึงกระชับ และยังกระตุ้นการสร้าง collagen และ elastin ได้ดี ทำให้ลดริ้วรอยเหี่ยวย่น ใบหน้าตึงกระชับ รวมทั้งยังมี cytokines ที่เป็นสารช่วยลดการอักเสบ ทำให้ลดการอักเสบของผิว หรือสิวอักเสบได้ดี

A: ทั้งการใช้ cell-based therapy เพื่อการฟื้นฟูด้านความงามที่ฉีดเฉพาะจุด เช่น ใบหน้า คอ หน้าอก เพื่อการฟื้นฟูสุขภาพร่างกาย และเพื่อการฟื้นฟูโรคเฉพาะทาง เช่น ปัญหาข้อเข่า โรคมะเร็ง ก่อนเข้ารับการฟื้นฟูผู้เข้ารับการรักษาจะต้องเข้ารับการตรวจประเมินโดยแพทย์อย่างละเอียด โดยผู้เข้ารับการรักษาควรรู้

- ประวัติแพ้ยาเพนนิซิลิน

- ประวิติการป่วยด้วยมะเร็งของตนเองและคนในครอบครัว

- ประวัติการฉีดวัคซีน

- ประวัติการมีโรคประจำตัว หรือโรคอื่นๆ

- ประวัติการทานยา

เพื่อให้ข้อมูลแก่แพทย์ในการพิจารณาการฟื้นฟูด้วย stem cell

A: หลังจากเข้ารับการฟื้นฟูด้วย cell-based therapy แล้ว ควร

- งดการบริจาคเลือด

- งดเว้นสุราและบุหรี่ไม่น้อยกว่า 1 เดือน

- หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจจะได้รับการบาดเจ็บ

- หลีกเลี่ยงทรีตเมนต์ที่เป็นความร้อนทุกชนิด รวมถึง ซาวน่า สตีมไอน้ำ การนวดประคบร้อน และเลเซอร์ต่างๆ ไม่น้อยกว่า 1 เดือน

A: ออกฤทธิ์ยกกระชับได้เหมือนกัน แต่แตกต่างกันที่กลไกการทำงาน เนื่องจาก bio-lifting เป็นสารสกัดที่ได้ growth factors และ growth hormone ที่จะกระตุ้นเซลล์ให้มีการเพิ่มจำนวนหนาแน่นขึ้นทำให้หน้าตึงกระชับอย่างธรรมชาติ ส่วน botox เป็นสารพิษ (toxin) ที่สกัดจากแบคทีเรีย จะลดการหดเกร็งกล้ามเนื้อ หรือคือการทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต จึงส่งผลให้ริ้วรอยเหี่ยวย่นลดลง แต่ทำให้การแสดงสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติ

A: สามารถแต่งหน้าและทาครีมบำรุงตามปกติได้ทันที

A: ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้ตั้งแต่ 6 เดือน จนถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับสุขภาพและรูปแบบการใช้ชีวิต (lifestyle) แต่ละบุคคล

A: มีข้อห้ามสำหรับผู้ป่วยมะเร็งในระยะลุกลาม, คนไข้ที่มีการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ

A: มีข้อห้ามคนไข้ที่เป็นมะเร็งรังไข่/เนื้องอกที่รังไข่ เนื่องจาก placenta ส่งผลต่อการกระตุ้นรังไข่โดยตรง

A: ควรดื่มหลังฉีด 1 เดือนขึ้นไป

A: ประคบเย็นเท่านั้น เพราะความร้อนจะลดประสิทธิภาพของเซลล์บำบัด (cell-based therapy)

A: แก้ได้ ด้วยการใช้เทคนิคพิเศษในการฉีด เช่น derma pen

A: ใช้ bio lifting แทนการใช้ botox ได้ เนื่องจากออกฤทธิ์ยกกระชับได้เหมือนกัน แตกต่างที่กลไกการทำงาน เนื่องจาก bio lifting เป็นสารสกัดที่ได้ growth factors และ growth hormone ที่จะกระตุ้นเซลล์ให้มีการเพิ่มจำนวนหนาแน่นขึ้นทำให้หน้าตึงกระชับอย่างธรรมชาติ ส่วน botox เป็นสารพิษ (toxin) ที่สกัดจากแบคทีเรีย จะลดการหดเกร็งกล้ามเนื้อ หรือคือการทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต จึงส่งผลให้ริ้วรอยเหี่ยวย่นลดลง แต่ทำให้การแสดงสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติ

A: ใช้การยกกระชับด้วย bio lifting หรือการฉีดเฉพาะจุดด้วยเซลล์ของตนเอง เช่น PRP ทดแทนได้

A: แก้ไขโดยใช้ bio lifting หรือการใช้ PRP แทนการใช้ botox เนื่องจาก botox เป็นสารพิษที่ทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต ดังนั้นดึงอาจทำให้เกิดอันตรายได้หากยังมีการใช้ botox

Vitamin therapy

A: จำเป็น เนื่องจากการตรวจวิเคราะห์ผลเลือดสามารถบอกสภาวะของร่างกายของผู้ป่วยได้ว่าเป็นอย่างไร เพราะในบางกรณี ผู้ป่วยไม่ทราบภาวะและข้อจำกัดทางสุขภาพของตนเอง ดังนั้นการตรวจเลือดก่อนอย่างละเอียดจึงสำคัญมาก

A: รูปแบบการใช้ชีวิตและมลภาวะในปัจจุบัน ทำให้เรามีโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคมากขึ้น ที่อาจทำให้แค่การรับประทานอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ

A: มีอยู่ได้เรื่อยๆ เพราะมีหลายปัจจัย นการใช้ชีวิตที่ควบคุม ควบคุมไม่ได้ และเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงโอกาสในการขาดวิตามิน ซึ่งการทานวิตามินเป็ฯประจำจะช่วยลดภาวะการขาดสิตามินกรือาจะไม่ขาดเลย แต่หากไม่แน่ใจสามารถปรึกษาแพทย์และตรวจวิเคราะห์การขาดวิตามินได้

A: การใช้วิตามินสำหรับรักษาโรค ขึนอยู่กับกรณีของโรค เช่น โรดหัวใจเต้นผิดจังหวะจากการขาดวิตามินบี 1 เรื้อรัง (beriberi) ใช้ในการบำบัดรักษาโรค 

ตัวอย่างเคสการใช้วิตามินกับโรคมะเร็ง โรคติดเชื้อรุนแรง โรค covid

A: การใช้ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์ เพราะในบางกรณีหากผู้ป่วยมีโรคประจำตัวที่ต้องระวังเป็นพิเศษ เช่น ภาวะ G6PD deficiency การใช้วิตามินซีความเข้มข้นสูงอาจทำให้เม็ดเลือดแดงแตกได้ หรือการได้รับวิตามินบี6มากเกินไปอาจทำให้ปลายประสาทอักเสบ

A: โดยทั่วไปมีความปลอดภัยสูงแม้จะใช้ในปริมาณมาก ซึ่งการจะเกิดอันตรายนั้นไม่ได้เกิดจากวิตามินโดยตรง แต่เกิดจากการที่ผู้ป่วยไม่ทราบภาวะและข้อจำกัดทางสุขภาพของตนเอง

A: วิตามินบีบางตัวทำให้รู้สึกคลื่นไส้ เกลือแร่อบางชนิดอาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะได้หากให้ในปริมาณมากเกินไปหรืออัตราการให้เร็วเกินไป และผลข้างเคียงอีกส่วนหนึ่งเกิดจาก technical error ของการเตรียมวิตามิน

Preventive weight loss

A: ไม่มีผลข้างเคียงทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

A: น้ำหนักลดลงได้ 2-5 กิโลกรัม/เดือน ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้ชีวิตหลายๆปัจจัย เช่น การทาน การออกกำลังกาย การนอน เป็นต้น

A: สัปดาห์ที่ 2 เป็นต้นไป

A: การฉีด agonist จะช่วยลดความอยากอาหารลง โดยการสั่งการกับสมองที่ควบคุมความหิว

A: ควรทำควบคู่กับไปด้วย ควรเน้นไปที่รูปแบบการใช้ชีวิต (lifestyle) ดังนั้นจึงควรค่อยๆเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่จะเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรงในระยะยาวมากกว่าเพียงการลดน้ำหนักในช่วงหนึ่งๆ

Lab test

A: 

A: 

Scroll to Top