
FAQ
คำถามที่พบบ่อย
All FAQ
Q: biofiller ต่างกับ filler ทั่วไปอย่างไร
A: filler โดยทั่วไปเป็น hyaluronic acid แบบมวลโมเลกุลสูงที่ crosslink แต่ biofiller ของ Lifespan clinic นั้นจะเป็นสารสกัดจากเซลล์ธรรมชาติ 2 ชนิดที่ห้อหุ้มด้วย hyaluronic acid แบบมวลโมเลกุลต่ำ และ non- crosslink ซึ่งมีข้อดีคือ สลายได้หมดเมื่อเวลาผ่านไป ไม่ตกค้าง ไม่มีอันตรายเมื่อหลุดเข้าไปสู่เส้นเลือด นอกจากนั้นฤทธิ์ของ growth factors และ growth hormone ที่ได้จากเซลล์ธรรมชาติจะช่วยกระตุ้นให้เซลล์มีการซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ให้อ่อนเยาว์และแข็งแรง มีการเพิ่มการแบ่งตัวเซลล์มากขึ้น ทำให้เซลล์ผิวหนาแน่นตึงกระชับ และยังกระตุ้นการสร้าง collagen และ elastin ได้ดี ทำให้ลดริ้วรอยเหี่ยวย่น ใบหน้าตึงกระชับ รวมทั้งยังมี cytokines ที่เป็นสารช่วยลดการอักเสบ ทำให้ลดการอักเสบของผิว หรือสิวอักเสบได้ดี
Q: ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้างก่อนเข้ารับการฟื้นฟูด้วย cell-based therapy
A: ทั้งการใช้ cell-based therapy เพื่อการฟื้นฟูด้านความงามที่ฉีดเฉพาะจุด เช่น ใบหน้า คอ หน้าอก เพื่อการฟื้นฟูสุขภาพร่างกาย และเพื่อการฟื้นฟูโรคเฉพาะทาง เช่น ปัญหาข้อเข่า โรคมะเร็ง ก่อนเข้ารับการฟื้นฟูผู้เข้ารับการรักษาจะต้องเข้ารับการตรวจประเมินโดยแพทย์อย่างละเอียด โดยผู้เข้ารับการรักษาควรรู้
- ประวัติแพ้ยาเพนนิซิลิน
- ประวิติการป่วยด้วยมะเร็งของตนเองและคนในครอบครัว
- ประวัติการฉีดวัคซีน
- ประวัติการมีโรคประจำตัว หรือโรคอื่นๆ
- ประวัติการทานยา
เพื่อให้ข้อมูลแก่แพทย์ในการพิจารณาการฟื้นฟูด้วย stem cell
Q: ต้องดูแลตัวเองอย่างไรบ้างหลังเข้ารับการฟื้นฟูด้วย cell-based therapy
A: หลังจากเข้ารับการฟื้นฟูด้วย cell-based therapy แล้ว ควร
- งดการบริจาคเลือด
- งดเว้นสุราและบุหรี่ไม่น้อยกว่า 1 เดือน
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจจะได้รับการบาดเจ็บ
- หลีกเลี่ยงทรีตเมนต์ที่เป็นความร้อนทุกชนิด รวมถึง ซาวน่า สตีมไอน้ำ การนวดประคบร้อน และเลเซอร์ต่างๆ ไม่น้อยกว่า 1 เดือน
Q: bio-lifting ยกกระชับได้แบบ botox ไหม?
A: ออกฤทธิ์ยกกระชับได้เหมือนกัน แต่แตกต่างกันที่กลไกการทำงาน เนื่องจาก bio-lifting เป็นสารสกัดที่ได้ growth factors และ growth hormone ที่จะกระตุ้นเซลล์ให้มีการเพิ่มจำนวนหนาแน่นขึ้นทำให้หน้าตึงกระชับอย่างธรรมชาติ ส่วน botox เป็นสารพิษ (toxin) ที่สกัดจากแบคทีเรีย จะลดการหดเกร็งกล้ามเนื้อ หรือคือการทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต จึงส่งผลให้ริ้วรอยเหี่ยวย่นลดลง แต่ทำให้การแสดงสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติ
Q: หลังฟื้นฟูด้วย bio-lifting แต่งหน้าได้ไหม?
A: สามารถแต่งหน้าและทาครีมบำรุงตามปกติได้ทันที
Q: หลังฟื้นฟูด้วย cell-based therapy ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน?
A: ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้ตั้งแต่ 6 เดือน จนถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับสุขภาพและรูปแบบการใช้ชีวิต (lifestyle) แต่ละบุคคล
Q: สำหรับการฟื้นฟูด้วย cell-based therapy มีข้อห้ามหรือไม่?
A: มีข้อห้ามสำหรับผู้ป่วยมะเร็งในระยะลุกลาม, คนไข้ที่มีการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
Q: สำหรับการปรับสมดุลฮอร์โมนด้วย cell-based therapy มีข้อห้ามหรือไม่?
A: มีข้อห้ามคนไข้ที่เป็นมะเร็งรังไข่/เนื้องอกที่รังไข่ เนื่องจาก placenta ส่งผลต่อการกระตุ้นรังไข่โดยตรง
Q: หลังฟื้นฟูด้วย cell-based therapy ดื่มแอลกอฮอลล์ได้ไหม?
A: ควรดื่มหลังฉีด 1 เดือนขึ้นไป
Q: หลังฉีด ประคบร้อนหรือเย็น?
A: ประคบเย็นเท่านั้น เพราะความร้อนจะลดประสิทธิภาพของเซลล์บำบัด (cell-based therapy)
Q: facial meso แก้ปัญหาฝ้า กระ รอยดำจากเลเซอร์ได้ไหม ควรใช้ผลิตภัณฑ์ไหน
A: แก้ได้ ด้วยการใช้เทคนิคพิเศษในการฉีด เช่น derma pen
Q: อยากยกกระชับแบบไม่ใช้ botox ฟื้นฟูด้วยอะไรทดแทนได้บ้าง
A: ใช้ bio lifting แทนการใช้ botox ได้ เนื่องจากออกฤทธิ์ยกกระชับได้เหมือนกัน แตกต่างที่กลไกการทำงาน เนื่องจาก bio lifting เป็นสารสกัดที่ได้ growth factors และ growth hormone ที่จะกระตุ้นเซลล์ให้มีการเพิ่มจำนวนหนาแน่นขึ้นทำให้หน้าตึงกระชับอย่างธรรมชาติ ส่วน botox เป็นสารพิษ (toxin) ที่สกัดจากแบคทีเรีย จะลดการหดเกร็งกล้ามเนื้อ หรือคือการทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต จึงส่งผลให้ริ้วรอยเหี่ยวย่นลดลง แต่ทำให้การแสดงสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติ
Q: อยากให้หน้ายกกระชับ แต่ไม่อยากทำ ulthera ใช้วิธีไหนได้บ้าง?
A: ใช้การยกกระชับด้วย bio lifting หรือการฉีดเฉพาะจุดด้วยเซลล์ของตนเอง เช่น PRP ทดแทนได้
Q: ดื้อ botox รักษาหรือแก้ไขอย่างไรดี
A: แก้ไขโดยใช้ bio lifting หรือการใช้ PRP แทนการใช้ botox เนื่องจาก botox เป็นสารพิษที่ทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต ดังนั้นดึงอาจทำให้เกิดอันตรายได้หากยังมีการใช้ botox
Q: จำเป็นต้องตรวจเลือดก่อนใช้ Vitamin therapy หรือไม่
A: จำเป็น เนื่องจากการตรวจวิเคราะห์ผลเลือดสามารถบอกสภาวะของร่างกายของผู้ป่วยได้ว่าเป็นอย่างไร เพราะในบางกรณี ผู้ป่วยไม่ทราบภาวะและข้อจำกัดทางสุขภาพของตนเอง ดังนั้นการตรวจเลือดก่อนอย่างละเอียดจึงสำคัญมาก
Q: รู้ได้อย่างไรว่าเราอยู่ในภาวะขาดวิตามินแล้วควรมารับการฟื้นฟู
A: รูปแบบการใช้ชีวิตและมลภาวะในปัจจุบัน ทำให้เรามีโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคมากขึ้น ที่อาจทำให้แค่การรับประทานอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ
Q: ทานอาหารดี ดูแลตัวเองดี มีโอกาสขาดสารอาหารหรือไม่
A: มีอยู่ได้เรื่อยๆ เพราะมีหลายปัจจัย นการใช้ชีวิตที่ควบคุม ควบคุมไม่ได้ และเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงโอกาสในการขาดวิตามิน ซึ่งการทานวิตามินเป็ฯประจำจะช่วยลดภาวะการขาดสิตามินกรือาจะไม่ขาดเลย แต่หากไม่แน่ใจสามารถปรึกษาแพทย์และตรวจวิเคราะห์การขาดวิตามินได้
Q: ในการรักษาโรคใช้ vitamin แทนยาได้ไหม?
A: การใช้วิตามินสำหรับรักษาโรค ขึนอยู่กับกรณีของโรค เช่น โรดหัวใจเต้นผิดจังหวะจากการขาดวิตามินบี 1 เรื้อรัง (beriberi) ใช้ในการบำบัดรักษาโรค
ตัวอย่างเคสการใช้วิตามินกับโรคมะเร็ง โรคติดเชื้อรุนแรง โรค covid
Q: Vitamin therapy มีข้อจำกัดไหม?
A: การใช้ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์ เพราะในบางกรณีหากผู้ป่วยมีโรคประจำตัวที่ต้องระวังเป็นพิเศษ เช่น ภาวะ G6PD deficiency การใช้วิตามินซีความเข้มข้นสูงอาจทำให้เม็ดเลือดแดงแตกได้ หรือการได้รับวิตามินบี6มากเกินไปอาจทำให้ปลายประสาทอักเสบ
Q: Vitamin therapy มีอันตรายไหม
A: โดยทั่วไปมีความปลอดภัยสูงแม้จะใช้ในปริมาณมาก ซึ่งการจะเกิดอันตรายนั้นไม่ได้เกิดจากวิตามินโดยตรง แต่เกิดจากการที่ผู้ป่วยไม่ทราบภาวะและข้อจำกัดทางสุขภาพของตนเอง
Q: Vitamin therapy มีผลข้างเคียงไหม?
A: วิตามินบีบางตัวทำให้รู้สึกคลื่นไส้ เกลือแร่อบางชนิดอาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะได้หากให้ในปริมาณมากเกินไปหรืออัตราการให้เร็วเกินไป และผลข้างเคียงอีกส่วนหนึ่งเกิดจาก technical error ของการเตรียมวิตามิน
Q: การฉีดด้วย agonist มีผลข้างเคียงหรือไม่
A: ไม่มีผลข้างเคียงทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
Q: น้ำหนักจะลดลงได้กี่กิโล ในระยะเวลากี่เดือน
A: น้ำหนักลดลงได้ 2-5 กิโลกรัม/เดือน ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้ชีวิตหลายๆปัจจัย เช่น การทาน การออกกำลังกาย การนอน เป็นต้น
Q: ใช้เวลานานแค่ไหนน้ำหนักถึงเริ่มลดลง
A: สัปดาห์ที่ 2 เป็นต้นไป
Q: ช่วยลดการอยากอาหารได้อย่างไร
A: การฉีด agonist จะช่วยลดความอยากอาหารลง โดยการสั่งการกับสมองที่ควบคุมความหิว
Q: ฉีดแล้วต้องควบคุมอาหารและออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยหรือไม่
A: ควรทำควบคู่กับไปด้วย ควรเน้นไปที่รูปแบบการใช้ชีวิต (lifestyle) ดังนั้นจึงควรค่อยๆเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่จะเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรงในระยะยาวมากกว่าเพียงการลดน้ำหนักในช่วงหนึ่งๆ
Cell-based therapy
Q: biofiller ต่างกับ filler ทั่วไปอย่างไร
A: filler โดยทั่วไปเป็น hyaluronic acid แบบมวลโมเลกุลสูงที่ crosslink แต่ biofiller ของ Lifespan clinic นั้นจะเป็นสารสกัดจากเซลล์ธรรมชาติ 2 ชนิดที่ห้อหุ้มด้วย hyaluronic acid แบบมวลโมเลกุลต่ำ และ non- crosslink ซึ่งมีข้อดีคือ สลายได้หมดเมื่อเวลาผ่านไป ไม่ตกค้าง ไม่มีอันตรายเมื่อหลุดเข้าไปสู่เส้นเลือด นอกจากนั้นฤทธิ์ของ growth factors และ growth hormone ที่ได้จากเซลล์ธรรมชาติจะช่วยกระตุ้นให้เซลล์มีการซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์ให้อ่อนเยาว์และแข็งแรง มีการเพิ่มการแบ่งตัวเซลล์มากขึ้น ทำให้เซลล์ผิวหนาแน่นตึงกระชับ และยังกระตุ้นการสร้าง collagen และ elastin ได้ดี ทำให้ลดริ้วรอยเหี่ยวย่น ใบหน้าตึงกระชับ รวมทั้งยังมี cytokines ที่เป็นสารช่วยลดการอักเสบ ทำให้ลดการอักเสบของผิว หรือสิวอักเสบได้ดี
Q: ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้างก่อนเข้ารับการฟื้นฟูด้วย cell-based therapy
A: ทั้งการใช้ cell-based therapy เพื่อการฟื้นฟูด้านความงามที่ฉีดเฉพาะจุด เช่น ใบหน้า คอ หน้าอก เพื่อการฟื้นฟูสุขภาพร่างกาย และเพื่อการฟื้นฟูโรคเฉพาะทาง เช่น ปัญหาข้อเข่า โรคมะเร็ง ก่อนเข้ารับการฟื้นฟูผู้เข้ารับการรักษาจะต้องเข้ารับการตรวจประเมินโดยแพทย์อย่างละเอียด โดยผู้เข้ารับการรักษาควรรู้
- ประวัติแพ้ยาเพนนิซิลิน
- ประวิติการป่วยด้วยมะเร็งของตนเองและคนในครอบครัว
- ประวัติการฉีดวัคซีน
- ประวัติการมีโรคประจำตัว หรือโรคอื่นๆ
- ประวัติการทานยา
เพื่อให้ข้อมูลแก่แพทย์ในการพิจารณาการฟื้นฟูด้วย stem cell
Q: ต้องดูแลตัวเองอย่างไรบ้างหลังเข้ารับการฟื้นฟูด้วย cell-based therapy
A: หลังจากเข้ารับการฟื้นฟูด้วย cell-based therapy แล้ว ควร
- งดการบริจาคเลือด
- งดเว้นสุราและบุหรี่ไม่น้อยกว่า 1 เดือน
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจจะได้รับการบาดเจ็บ
- หลีกเลี่ยงทรีตเมนต์ที่เป็นความร้อนทุกชนิด รวมถึง ซาวน่า สตีมไอน้ำ การนวดประคบร้อน และเลเซอร์ต่างๆ ไม่น้อยกว่า 1 เดือน
Q: bio-lifting ยกกระชับได้แบบ botox ไหม?
A: ออกฤทธิ์ยกกระชับได้เหมือนกัน แต่แตกต่างกันที่กลไกการทำงาน เนื่องจาก bio-lifting เป็นสารสกัดที่ได้ growth factors และ growth hormone ที่จะกระตุ้นเซลล์ให้มีการเพิ่มจำนวนหนาแน่นขึ้นทำให้หน้าตึงกระชับอย่างธรรมชาติ ส่วน botox เป็นสารพิษ (toxin) ที่สกัดจากแบคทีเรีย จะลดการหดเกร็งกล้ามเนื้อ หรือคือการทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต จึงส่งผลให้ริ้วรอยเหี่ยวย่นลดลง แต่ทำให้การแสดงสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติ
Q: หลังฟื้นฟูด้วย bio-lifting แต่งหน้าได้ไหม?
A: สามารถแต่งหน้าและทาครีมบำรุงตามปกติได้ทันที
Q: หลังฟื้นฟูด้วย cell-based therapy ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน?
A: ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้ตั้งแต่ 6 เดือน จนถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับสุขภาพและรูปแบบการใช้ชีวิต (lifestyle) แต่ละบุคคล
Q: สำหรับการฟื้นฟูด้วย cell-based therapy มีข้อห้ามหรือไม่?
A: มีข้อห้ามสำหรับผู้ป่วยมะเร็งในระยะลุกลาม, คนไข้ที่มีการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
Q: สำหรับการปรับสมดุลฮอร์โมนด้วย cell-based therapy มีข้อห้ามหรือไม่?
A: มีข้อห้ามคนไข้ที่เป็นมะเร็งรังไข่/เนื้องอกที่รังไข่ เนื่องจาก placenta ส่งผลต่อการกระตุ้นรังไข่โดยตรง
Q: หลังฟื้นฟูด้วย cell-based therapy ดื่มแอลกอฮอลล์ได้ไหม?
A: ควรดื่มหลังฉีด 1 เดือนขึ้นไป
Q: หลังฉีด ประคบร้อนหรือเย็น?
A: ประคบเย็นเท่านั้น เพราะความร้อนจะลดประสิทธิภาพของเซลล์บำบัด (cell-based therapy)
Q: facial meso แก้ปัญหาฝ้า กระ รอยดำจากเลเซอร์ได้ไหม ควรใช้ผลิตภัณฑ์ไหน
A: แก้ได้ ด้วยการใช้เทคนิคพิเศษในการฉีด เช่น derma pen
Q: อยากยกกระชับแบบไม่ใช้ botox ฟื้นฟูด้วยอะไรทดแทนได้บ้าง
A: ใช้ bio lifting แทนการใช้ botox ได้ เนื่องจากออกฤทธิ์ยกกระชับได้เหมือนกัน แตกต่างที่กลไกการทำงาน เนื่องจาก bio lifting เป็นสารสกัดที่ได้ growth factors และ growth hormone ที่จะกระตุ้นเซลล์ให้มีการเพิ่มจำนวนหนาแน่นขึ้นทำให้หน้าตึงกระชับอย่างธรรมชาติ ส่วน botox เป็นสารพิษ (toxin) ที่สกัดจากแบคทีเรีย จะลดการหดเกร็งกล้ามเนื้อ หรือคือการทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต จึงส่งผลให้ริ้วรอยเหี่ยวย่นลดลง แต่ทำให้การแสดงสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติ
Q: อยากให้หน้ายกกระชับ แต่ไม่อยากทำ ulthera ใช้วิธีไหนได้บ้าง?
A: ใช้การยกกระชับด้วย bio lifting หรือการฉีดเฉพาะจุดด้วยเซลล์ของตนเอง เช่น PRP ทดแทนได้
Q: ดื้อ botox รักษาหรือแก้ไขอย่างไรดี
A: แก้ไขโดยใช้ bio lifting หรือการใช้ PRP แทนการใช้ botox เนื่องจาก botox เป็นสารพิษที่ทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต ดังนั้นดึงอาจทำให้เกิดอันตรายได้หากยังมีการใช้ botox
Vitamin therapy
Q: จำเป็นต้องตรวจเลือดก่อนใช้ Vitamin therapy หรือไม่
A: จำเป็น เนื่องจากการตรวจวิเคราะห์ผลเลือดสามารถบอกสภาวะของร่างกายของผู้ป่วยได้ว่าเป็นอย่างไร เพราะในบางกรณี ผู้ป่วยไม่ทราบภาวะและข้อจำกัดทางสุขภาพของตนเอง ดังนั้นการตรวจเลือดก่อนอย่างละเอียดจึงสำคัญมาก
Q: รู้ได้อย่างไรว่าเราอยู่ในภาวะขาดวิตามินแล้วควรมารับการฟื้นฟู
A: รูปแบบการใช้ชีวิตและมลภาวะในปัจจุบัน ทำให้เรามีโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคมากขึ้น ที่อาจทำให้แค่การรับประทานอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ
Q: ทานอาหารดี ดูแลตัวเองดี มีโอกาสขาดสารอาหารหรือไม่
A: มีอยู่ได้เรื่อยๆ เพราะมีหลายปัจจัย นการใช้ชีวิตที่ควบคุม ควบคุมไม่ได้ และเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงโอกาสในการขาดวิตามิน ซึ่งการทานวิตามินเป็ฯประจำจะช่วยลดภาวะการขาดสิตามินกรือาจะไม่ขาดเลย แต่หากไม่แน่ใจสามารถปรึกษาแพทย์และตรวจวิเคราะห์การขาดวิตามินได้
Q: ในการรักษาโรคใช้ vitamin แทนยาได้ไหม?
A: การใช้วิตามินสำหรับรักษาโรค ขึนอยู่กับกรณีของโรค เช่น โรดหัวใจเต้นผิดจังหวะจากการขาดวิตามินบี 1 เรื้อรัง (beriberi) ใช้ในการบำบัดรักษาโรค
ตัวอย่างเคสการใช้วิตามินกับโรคมะเร็ง โรคติดเชื้อรุนแรง โรค covid
Q: Vitamin therapy มีข้อจำกัดไหม?
A: การใช้ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์ เพราะในบางกรณีหากผู้ป่วยมีโรคประจำตัวที่ต้องระวังเป็นพิเศษ เช่น ภาวะ G6PD deficiency การใช้วิตามินซีความเข้มข้นสูงอาจทำให้เม็ดเลือดแดงแตกได้ หรือการได้รับวิตามินบี6มากเกินไปอาจทำให้ปลายประสาทอักเสบ
Q: Vitamin therapy มีอันตรายไหม
A: โดยทั่วไปมีความปลอดภัยสูงแม้จะใช้ในปริมาณมาก ซึ่งการจะเกิดอันตรายนั้นไม่ได้เกิดจากวิตามินโดยตรง แต่เกิดจากการที่ผู้ป่วยไม่ทราบภาวะและข้อจำกัดทางสุขภาพของตนเอง
Q: Vitamin therapy มีผลข้างเคียงไหม?
A: วิตามินบีบางตัวทำให้รู้สึกคลื่นไส้ เกลือแร่อบางชนิดอาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะได้หากให้ในปริมาณมากเกินไปหรืออัตราการให้เร็วเกินไป และผลข้างเคียงอีกส่วนหนึ่งเกิดจาก technical error ของการเตรียมวิตามิน
Preventive weight loss
Q: การฉีดด้วย agonist มีผลข้างเคียงหรือไม่
A: ไม่มีผลข้างเคียงทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
Q: น้ำหนักจะลดลงได้กี่กิโล ในระยะเวลากี่เดือน
A: น้ำหนักลดลงได้ 2-5 กิโลกรัม/เดือน ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้ชีวิตหลายๆปัจจัย เช่น การทาน การออกกำลังกาย การนอน เป็นต้น
Q: ใช้เวลานานแค่ไหนน้ำหนักถึงเริ่มลดลง
A: สัปดาห์ที่ 2 เป็นต้นไป
Q: ช่วยลดการอยากอาหารได้อย่างไร
A: การฉีด agonist จะช่วยลดความอยากอาหารลง โดยการสั่งการกับสมองที่ควบคุมความหิว
Q: ฉีดแล้วต้องควบคุมอาหารและออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยหรือไม่
A: ควรทำควบคู่กับไปด้วย ควรเน้นไปที่รูปแบบการใช้ชีวิต (lifestyle) ดังนั้นจึงควรค่อยๆเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่จะเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรงในระยะยาวมากกว่าเพียงการลดน้ำหนักในช่วงหนึ่งๆ
Lab test
Q:
A:
Q:
A: